การบวช
การบวชนับเป็นธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
เพราะผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีจุดมุ่งหมายที่จะให้บุตรของตนได้เป็นศาสนทายาทสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป
และอีกประการหนึ่งเป็นจุดประสงค์ของผู้เป็นบิดามารดาที่ต้องการให้บุตรของตนได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
เพื่อจะได้นำเอาหลักคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในการที่จะอยู่ครองเรือนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในภายหน้า
การบวชจะมี 2 ลักษณะ
ได้แก่ การบวชเป็นสามเณร
เรียกว่า "บรรพชา" และการบวชเป็นพระภิกษุ
เรียกว่า "อุปสมบท"
การบรรพชา
การบรรพชา หมายถึง การบวชเป็น สามเณร
ซึ่งเป็นการเว้นจากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ เคย กระทำในชีวิตฆราวาส
หันมาใช้ชีวิตแบบสันโดษ สงบ
ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อความหลุดพ้น จากกิเลสอันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต การบรรพชา
เป็นกิจเบื้องต้นของการอุปสมบท
การอุปสมบท
การอุปสมบท คือการบวชเป็นพระภิกษุ มี 3 วิธีคือ
1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา หมายถึง
การบวชด้วยพระวาจาของพระพุทธเจ้าว่า “จงเป็นภิกษุมาเกิด” เป็นวิธีการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้โดยตรงการอุปสมบทแบบนี้มีเฉพาะในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่
2. ติสรณคมนูปสัมปทา หมายถึง
การบวชด้วยการถึงซึ่งที่พึ่งที่ระลึก 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชให้แก่ผู้ต้องการบวช
โดยให้ผู้นั้นปลงผมและหนวดเครา
ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วกราบพระภิกษุผู้ที่จะบวชให้พระภิกษุนั้นกล่าวนำถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ผู้ต้องการบวชกล่าวตาม
เท่ากับเป็นคำปฏิญาณตนเข้านับถือพระพุทธศาสนา
เมื่อกล่าวคำถึงพระรัตนตรัยจบแล้วเป็นอันสำเร็จเป็นภิกษุ
การอุปสมบทแบบนี้ใช้ควบคู่มากับเอหิภิกขุอุปสัมปทา
3. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา หมายถึง
การบวชด้วยคำประกาศย้ำ 3 ครั้ง รวมทั้งคำประกาศนำเป็นครั้งที่ 4
เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์บวชให้แก่กุลบุตร
โดยให้ผู้นั้นบวชเป็นสามเณรชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้ขออุปสมบท
จากนั้นพระกรรมวาจาจารย์สวนประกาศน้ำครั้งที่ 1 ว่าสงฆ์จะรับผู้นั้นเป็นภิกษุหรือไม่
เมื่อสงฆ์ยังนิ่งอยู่ก็สวดประกาศย้ำอีก 3 ครั้ง
ถ้าไม่มีใครคัดค้านก็เป็นอันสำเร็จเป็นพระภิกษุ
วิธีอุปสมบทแบบนี้ใช้มาตั้งแต่พุทธกาล ตอนกลางมาจนถึงปัจจุบัน
และเมื่อทรงอนุญาตญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาแล้ว ก็ทรงเลิกเอหิภิกขุอุปสัมปทา และติสรณคมนูปสัมปทาเสีย
คุณสมบัติของผู้บรรพชาอุปสมบท
1. ต้องรู้เดียงสา คือมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป
ส่วนผู้อุปสมบทต้องอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
2. ไม่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคร้ายแรงเช่น โรคเรื้อน
โรคฝีดาษ โรคกลาก โรคมงคร่อ หอบหืด
ลมบ้าหมูและโรคที่สังคมรังเกียจอื่น ๆ
3. ไม่เป็นผู้มีอวัยวะบกพร่อง หรือพิการ เช่น มือด้วน
แขนด้วน ขาเป๋ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย
4. ไม่เป็นคนมีอวัยวะไม่สมประกอบ เช่น เตี้ยเกินไป
สูงเกินไป คนคอพอก
5. ไม่เป็นคนทุรพล เช่น แก่เกินไป ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
6. ไม่เป็นคนมีพันธะ คือ คนที่บิดามารดาไม่อนุญาต
คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ข้าราชการที่ไม่ได้รับ อนุญาต
7. ไม่เป็นคนเคยถูกลงอาญาหลวง เช่น คนถูกสักหมายโทษ
คนถูกเฆี่ยนหลังลาย
8. ไม่เป็นคนประทุษร้ายความสงบ เช่น
เป็นโจรผู้ร้ายต้องอาญาแผ่นดิน
ขั้นตอนการอุปสมบท
ขั้นตอนที่ 1
ญาติผู้ใหญ่ตัดผมนาค ภายในคณะ
ขั้นตอนที่ 2
พระพี่เลี้ยงโกนผมนาค ภายในคณะ
ขั้นตอนที่ 3 กราบมารดา-บิดา
ท่านละ 1 ครั้ง (ไม่แบมือ)
แล้วรับมอบผ้าไตรจาก มารดาบิดาญาติผู้ใหญ่
ขั้นตอนที่ 4 นาคโปรยทาน (เหรียญ)
หน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถ
ขั้นตอนที่ 5 นาคส่งผ้าไตรให้เจ้าหน้าที่แล้วนำดอกไม้ บูชาที่หน้าพระประธาน
ขั้นตอนที่
6 กราบพระอุปัชฌาย์แล้ว
หยิบผ้าไตรวางบนแขน เปล่งวาจาขออุปสมบท
เสาหังพร้อมกัน
ขั้นตอนที่ 7 วางผ้าไตรลงและฟังพระอุปัชฌาย์สอนกัมมัฏฐานแล้วกล่าว
เกสา โลมาฯ
พระอุปัชฌาย์สวมผ้าอังสะให้นาค
ขั้นตอนที่ 8 เปล่งวาจาขอสรณะและศีล ๑๐
จากพระอาจารย์
ขั้นตอนที่ 9 เมื่อรับศีลเสร็จแล้วไปที่ศาลาแดง
เพื่อรับประเคนบาตรจากมารดาบิดา
ขั้นตอนที่ 10
คลานเข่าเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแล้วกล่าวคำขอนิสัย
ขั้นตอนที่ 11 พระกรรมวาจารย์คล้องบาตร
ขั้นตอนที่ 12 พระคู่สวดสอบถามอันตรายิกธรรม
(คุณสมบัติ)
ขั้นตอนที่ 13 คลานเข่าเข้ามาท่ามกลางสงฆ์, กราบสงฆ์
ขั้นตอนที่
14 เปล่งวาจาขอญัตติกรรม สังฆัม ภันเต
ขั้นตอนที่
15 ฟังอนุสาสน์บาลีจากพระอุปัชฌาย์
ขั้นตอนที่ 16 ถวายเครื่องไทยธรรม
กรวดน้ำ เป็นเสร็จพิธี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น